วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2558

วัยรุ่นคืออะไร



วัยรุ่นเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่วุฒิภาวะทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม จึงนับว่าเป็นวิกฤติช่วงหนึ่งของชีวิต เนื่องจากเป็นช่วงต่อของวัยเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะต้นของวัยจะมีการเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จะมีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างวัยรุ่นด้วยกันเอง และบุคคลรอบข้าง หากกระบวนการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เป็นไปอย่างเหมาะสม โดยการดูแลเอาใจใส่ใกล้ชิด จะช่วยให้วัยรุ่นสามารถปรับตัว ได้อย่างเหมาะสมบรรเทาปัญหาต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น และเป็นทั้งแรงผลักดันและแรงกระตุ้นให้พัฒนาการด้านอื่นๆ เป็นไปด้วยดี

คำจำกัดความ คำว่า “วัยรุ่น” มีความหลากหลาย เนื่องจากขึ้นกับความแตกต่างของขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒธรรม ตลอดจนความแตกต่างทางสังคม และการเปลี่ยนแปลงทางสรรีวิทยา ของวัยรุ่นในแต่ละแห่ง อย่างไรก็ตาม องค์กรอนามัยโลก ได้กำหนดความหมายกว้างๆ ของวัยรุ่นไว้ดังนี้
วัยรุ่น หมายถึง ช่วงอายุที่มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ในลักษณะที่พร้อมจะมีเพศสัมพันธ์ได้
วัยรุ่น เป็นระยะที่มีการพัฒนาทางจิตใจมาจากความเป็นเด็ก ไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่
วัยรุ่น เป็นระยะที่มีการเปลี่ยนแปลงจากสภาพ ที่ต้องพึ่งพาทางเศรษฐกิจไปสู่ภาวะที่ต้องรับผิดชอบและพึ่งพาตนเอง
วันนี้จึงครอบคลุมอายุโดยประมาณ คือ เด็กหญิง ระหว่างอายุ 10 – 20 ปี และเด็กชายระหว่างอายุ 12 – 22 ปี เนื่องจากช่วงวัยดังกล่าวค่อนข้างยาว ทางการแพทย์และจิตวิทยาพัฒนาการจึงแบ่งช่วงดังกล่าว ออกเป็น 2 – 3 ระยะ (แล้วแต่หลักเกณฑ์ของผู้เชี่ยวชาญ) เนื่องจากระยะต้นกับระยะปลายของวัย เด็กจะมีการเจริญเติบโต ทั้งกายและจิตใจ อารมณ์ แตกต่างกันมาก ในที่นี้จะแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ

วัยรุ่นตอนต้น

วัยรุ่นตอนกลาง

วัยรุ่นตอนปลาย

cr.http://www.thaigoodview.com/library/contest2553/type2/health04/03/page2.html

วันนี้เจอเด็กท้องในวัยเรียน โรงเรียนบังคับให้ลาออก อยากมาแชร์ประสบการณ์ในฐานะหมอสูติครับ



วันนี้เจอเด็กท้องในวัยเรียน โรงเรียนบังคับให้ลาออก อยากมาแชร์ประสบการณ์ในฐานหมอสูติครับ

ผมทำงานเป็นหมอมาได้ 7 ปีเศษๆครับ เจอเด็กตั้งครรภ์ในวัยรุ่นก็หลายคน
แต่ส่วนใหญ่ที่เจอ มักจะเป็นเด็กที่อยู่นอกระบบการศึกษาแล้ว เช่น ลาออกมาช่วยงานที่บ้าน หรือเกเรเรียนไม่ไหวถูกขอร้องให้ออก เป็นต้น
แต่ก็มีหลายๆครั้ง ที่เป็นเด็กนักเรียนเรียนดี ดูมีอนาคต แต่ทว่าความผิดพลาดทำให้ตั้งครรภ์

ผมขอยกตัวอย่างเคสนึง ที่ค่อนข้างเสียโอกาสสำหรับเด็ก เนื่องจากถูกให้ออกจากการศึกษาครับ



เคสนี้ผมเจอเมื่อประมาณ 1 ปีกว่าๆแล้วครับ
เป็นเด็กอายุ 16 ปี เรียนอยู่ชั้น ม.5 ผลการเรียนดี เป็นเด็กกิจกรรมของโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ
เธอไฝ่ฝันอยากเป็นเภสัชกร
แต่ก็พลาดท่าให้กับชายคนหนึ่ง แค่มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกันเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้ตั้งครรภ์
เธอแจ้งให้กับครอบครัวได้ทราบ ซึ่งแน่นอนครอบครัวเสียใจ แต่ก็ไม่อยากเอาเด็กในครรภ์ออก และก็พาเด็กมาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาล

เมื่อครอบครัวแจ้งกับทางโรงเรียน เพื่อขอลาเรียนจนกว่าลูกจะคลอด แต่ทางโรงเรียนกลับแจ้งว่า
"การตั้งครรภ์นั้นผิดกฏของโรงเรียน นักเรียนต้องลาออก" แต่ไม่ได้ไล่ออกโดยตรงนะครับ

ครอบครัวก็จำยอม ลาออกจากโรงเรียน ให้พักอยู่กับบ้าน หลังคลอดบุตรก็เลี้ยงลูกต่อ

ครั้นพอจะกลับเข้าไปสู่ระบบการศึกษาอีกครั้ง หลายๆท่านอาจจะคิดว่าง่าย แต่ไม่เป็นอย่างนั้นเลยครับ
ประการแรกคือ ถ้าจะหาโรงเรียนใหม่ การหาโรงเรียนเข้าตอน ม.5 นั้นยากกว่าหาโรงเรียนเข้าตอน ม.4 มาก และโรงเรียนอาจอยู่ไกล เดินทางลำบาก
ประการที่ 2 คือ หากเข้าโรงเรียนเดิม ก็จะมีความแปลกแยก เนื่องจากต้องเรียนกับรุ่นน้อง และอาจถูกคนนินทาจนทำให้เรียนได้ลำบาก

สำหรับเด็กคนนี้ หลังคลอดก็กลับไปเรียนซ้ำชั้นกับที่โรงเรียนเดิม แต่สิ่งแวดล้อมในโรงเรียนทำให้เรียนต่อไม่ได้ครับ จนเธอต้องลาออกจากโรงเรียนมาจริงๆ
ผ่านไปจนถึงตอนนี้ก็ปีกว่าๆ เธอพาลูกมาพบกุมารแพทย์ ก็เลยได้คุยกัน ได้ความว่าตอนนี้เธอไปเป็นหางเครื่องให้กับวงดนตรีครับ





ผมจึงอยากบอกกับคนหลายๆท่าน ที่คิดว่า ถ้าท้องตอนเรียน ก็ให้ลาออกไปหาที่อื่นใหม่ หรือดรอปเพื่อไปเรียนซ้ำชั้นกับรุ่นน้องนั้น ดูจะไม่ค่อยเป็นธรรมกับเด็กสักเท่าไหร่

ทำไมถ้าเด็กมีความสามารถที่จะเรียนไปด้วยได้ และตั้งครรภ์ไปด้วยได้ เขาเหล่านั้นต้องออกจากโรงเรียนด้วยเหรอครับ

บางคนอาจแย้งว่า การเรียนมีความเครียด ทำให้ทารกไม่แข็งแรง ตรงส่วนนี้ ผมอยากให้เข้าใจไว้เลยครับ การเรียนบางครั้งเครียดจริงครับ
แต่ว่าสิ่งแวดล้อมที่ดูถูกดูแคลนเด็กนั้นเครียดกว่ามากครับ ผมว่าเราควรจะปรับทรรศนคติของครูบางคน ในการดูแลเด็กที่ตั้งครรภ์ในวัยเรียนครับ
ผมอยากให้ครูให้การเรียนการสอนกับเด็กที่ตั้งครรภ์ตามปกติ และคอยปรามเด็กคนอื่นที่ล้อหรือนินทาคนตั้งครรภ์ สิ่งนี้น่าจะทำให้เด็กนั้นน่าจะเรียนต่อได้ในภาวะสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น
เรื่องความเครียดจากการเรียน คงไม่สาหัสมากหรอกครับ ถ้าเด็กคนนั้นมีผลการเรียนดีมาก่อนอยู่แล้ว





***** "ไม่มีงานวิจัยชิ้นใดบนโลกนี้ ที่บอกว่า การตั้งครรภ์ทำให้เด็กโง่ลงจนเรียนหนังสือไม่ได้นะครับ" *****





ส่วนเรื่องการดูแลเด็กในครรภ์ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผม (หมอสูติ) เพื่อให้ข้อมูลสุขภาพที่ดีๆแก่เด็ก
และให้กำลังใจกับตัวเด็กกับครอบครัว เพื่อให้เขาเหล่านั้นเป็นผู้ดูแล เถอะครับ
อย่าไปปิดโอกาสในการเรียนของเด็กเลย





วันนี้ก็เจอกรณีบังคับให้ลาออกอีกแล้วครับ โรงเรียนเดิม
เด็กอายุ 15 ปี มาพร้อมมารดา
เป็นเด็กเรียนพอใช้ ประพฤติตัวดีมาตลอด แม่ค่อนข้างไว้ใจลูกคนนี้มาก
แต่ก็อย่างว่า ความรักในวัยรุ่น อะไรก็เกิดขึ้นได้
ทั้งสองคนมาหาผมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพราะอยากเอาทารกในครรภ์ออก (ทำแท้ง) ผมก็แจ้งว่าไม่มีข้อบ่งชี้ในการทำแท้ง ผมทำให้ไม่ได้
แต่ก็มีคลินิกหรือโรงพยาบาลบางที่ทำให้
แต่ก่อนจะทำ ขอให้กลับไปคิดดูดีๆกับครอบครัว และญาติพี่น้องคนอื่นๆ ให้หลายๆคนช่วยกันคิด
หากคุณแม่บอกว่าเลี้ยงเด็กทารกเองไม่ไหว ครอบครัวคนอื่นๆจะช่วยได้ไหม หากครอบครัวคนอื่นๆช่วยไม่ไหวจริงๆ ก็อาจจำเป็นต้องเอาออก
แต่ถ้าครอบครัวพอไหว ไหนๆก็ผิดพลาดแล้ว ทางแก้ไขมันมีหลายทาง ไม่ใช่แค่ทำแท้ง และก็ให้ตัดสินใจ

วันนี้น้องกับแม่ก็มาฝากท้องที่ รพ.

แต่มาพร้อมกับใบลาออกจากโรงเรียนนี้ อีกแล้ว!!!!!!!

ผมถามว่าจะลาออกทำไม? อายเพื่อนๆ? หรือเหตุผลใด?
คุณแม่ตอบว่า ก็ไม่ได้อยากลาออก แต่คุณครูบอกว่า ตั้งครรภ์แล้วเรียนหนังสือที่นี่ไม่ได้ เป็นกฎของโรงเรียน
ต้องลาออกไปก่อน จากนั้นจะย้ายไปโรงเรียนอื่น หรือจะมาสมัครเรียนใหม่ปีหน้าก็ได้

ผมขอบอกเลย คุณครูคนนี้ใช้ไม่ได้เลย
เลยขอเบอร์โทรครูประจำชั้นคนนั้นมาจากคุณแม่ แล้วโทรไปหา ยังโทรไม่ติดครับตอนนี้
แต่ผมว่าผมคงไม่ปล่อยให้โรงเรียนแห่งนี้ทำอย่างนี้อีก อาจต้องคุยกับครูในโรงเรียนอีกครั้งในการปรับทัศนคติ





เรามี ร่างพรบ คุ้มครองอนามัยการเจริญพันธุ์
http://www.lawamendment.go.th/index.php/laws/item/727-topic_727

เรามีสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญในการได้รับการศึกษา

ดังนั้น เราไม่ควรมีเด็กที่ต้องออกจากโรงเรียน เนื่องจากทัศนคติที่ผิดๆของคุณครูบางคน และโรงเรียนบางแห่งอีกต่อไป

ผมขอย้ำอีกครั้งว่า
***** "ไม่มีงานวิจัยชิ้นใดบนโลกนี้ ที่บอกว่า การตั้งครรภ์ทำให้เด็กโง่ลงจนเรียนหนังสือไม่ได้นะครับ" *****
ดังนั้น หากเด็กสามารถเรียนต่อได้ ต้องให้เด็กเรียนต่อครับ

ส่วนการไล่ออก หรือบังคับให้ลาออกนั้น นอกจากเป็นการทำร้ายเด็กทางอ้อมแล้ว ยังเป็นการหมกปัญหาไว้ใต้พรม
ผมเคยได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ท่านนึง ไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน เขามีการให้โรงเรียนแต่ละแห่ง เก็บสถิติการตั้งครรภ์ในโรงเรียนของตนไว้
หากโรงเรียนใดมีการตั้งครรภ์สูง แปลว่า มาตรฐานไม่ดี
ดังนั้นหลายๆโรงเรียน จึงมักจะบังคับให้เด็กลาออก เพื่อลดตัวเลขดังกล่าว (ข้อมูลนี้ ถ้าไม่จริงก็แจ้งได้เลยนะครับ หรือใครมีข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องนี้ก็คุยกันด้านล่างเลยครับ)




ผมเพิ่มความเห็นของผมไว้ที่ความเห็น 31 นะครับ
ใครมีความเห็นใดๆ ก็พูดคุยกันได้นะครับ





อีกอย่างที่ผมอยากเสนอให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณา คือ การสอนเรื่องการใช้ถุงยางอนามัยครับ
หลายๆครั้ง เด็กมีความรู้ แต่ว่าไม่เคยปฏิบัติ พอเจอเหตุการณ์จริงก็จะใช้ไม่เป็นครับ
ลองอ่านรายละเอียดได้ใน petition ของ change.org ที่ผมสร้างไว้นะครับ
ผมอยากให้มีการสอน และสอบภาคปฏิบัติ เรื่องการใช้ถุงยางอนามัยด้วยครับ

Cr.http://pantip.com/topic/33344971

ขั้นตอนการทำภาพยนตร์



การสร้างหนังแต่ละเรื่องนอกจากจะใช้เงินทุนที่มหาศาลแล้ว ยังมีขั้นตอนและกระบวนการทำหนังที่ยุ่งยากซับซ้อนมาก สามารถแบ่งเป็น 4 ขั้นตอนได้ดังนี้

1. การคัดเลือกบทหนัง

บท หนังจะมีคนเสนอไป ยังบริษัท GTH มีบทหนังเพียง 10% ที่ผ่านการคัดเลือกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์จริง ๆ หลักในการพิจารณาบทหนังคือ ความชอบของคนที่เกี่ยวข้อง หมายถึงคนที่ตรวจบทหนัง อันนี้อยู่ที่ความเห็นส่วนบุคคล อาจเรียกได้ว่าเป็นคะแนนพิศวาส และหลักที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ พิจารณาจากสถิติของคนดู คือจะมีบริษัทเก็บข้อมูล ทำการสุ่มกลุ่มคน ว่ากลุ่มประชาชนตัวอย่างชอบหนังแนวไหน จากสถิตินี้ ก็จะนำมากำหนดเกณฑ์ที่จะคัดเลือกบทหนัง แต่ก็ไม่ได้เอาบทที่เราคัดเลือกมาแล้วนำมาถ่ายทำเลย ต้องนำมาเรียบเรียง สร้างสรรค์บท ใส่คำพูด เน้นรายละเอียดทุกฉากทุกตอน ซึ่งเรียกว่า “การพัฒนาบท” และเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นก็จะกลายมาเป็นบทที่สมบูรณ์ พร้อมที่จะถ่ายทำ แต่กว่าบทหนังจะผ่านขั้นตอนนี้มาได้ บางเรื่องใช้เวลาเป็นปี

2. Pre Production

หลังจากได้บทที่สมบูรณ์มาแล้ว ก็เข้าสู่การเตรียมงานก่อนถ่ายทำ จะมีการประชุมวางแผนงาน พูดคุยกันเรื่องงบประมาณในการทำหนัง และการจัดเตรียมทีมงาน เตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ จัดหาสถานที่ถ่ายทำ หาเสื้อผ้า ฉาก และที่สำคัญ จัดหาดารานักแสดง ในส่วนนี้ทีมงานก็ต้องแยกเป็นแต่ละฝ่ายเช่น ฝ่ายกำกับการแสดง ฝ่ายออกแบบ ฝ่ายศิลป์ ฝ่ายสวัสดิการ ผู้จัดการกองถ่าย ฝ่ายจัดหานักแสดง ในส่วนของฝ่ายจัดหานักแสดง ก็จะมีจดหมายจากคนที่อยากเป็นดาราสมัคร และส่งรูปเข้ามามากมาย รวมทั้งมีนายแบบ นางแบบจากโมเดลลิ่งด้วย เมื่อเราคัดเลือกจากรูปภาพได้แล้ว ก็ต้องนัดคนคนนั้นมาถ่ายรูปและมาแสดงความสามารถ หลังจากได้นักแสดงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนถ่ายทำก็จะมีพิธีที่สำคัญมากอย่างหนึ่งคือ พิธีบวงสรวงเปิดกล้อง ซึ่งเป็นพิธีทางศาสนาพราหม์ เป็นการบูชาครูทางด้านศิลปะ

3. ขั้นตอนการถ่ายทำ

เมื่อมาถึงขั้นตอนการถ่ายทำจริงนี้ ทุกฝ่ายต้องเตรียมพร้อม จะมีทีมงานเข้ามาดูแลรับผิดชอบหลายสิบชีวิตในกองถ่าย ใครมีหน้าที่ดูแลส่วนไหนก็ต้องทำส่วนนั้นให้ดีที่สุด เช่น ฝ่ายจัดหาอาหาร ก็ต้องมากองถ่ายแต่เช้า เพื่อมาเตรียมอาหารให้ทีมงาน และนักแสดงทุกคนได้ทานกัน ส่วนฝ่ายแต่งหน้าทำผม ก็ต้องออกแบบทรงผมให้เข้ากับบทบาทของนักแสดง เป็นต้น

ในกองถ่าย 1 กอง จะมีทีมงานไม่ต่ำกว่าครึ่งร้อย ซึ่งเป็นจำนวนที่เยอะมาก ในกองถ่ายนั้นคนทุกฝ่ายจะต้องทำงานประสานกับเป็นหนึ่งเดียว โดยมีผู้กำกับเป็นหัวเรือใหญ่ คอยสั่งการนำทิศทางให้แต่ละฉากเป็นไปอย่างที่ตั้งใจไว้ วิธีทำให้คนทุกฝ่ายเข้าใจตรงกันก็คือ การใช้ “Story Board” จะทำให้ทุกคนมองเห็นภาพและเข้าใจตรงกันมากที่สุด

ก่อน จะทำการถ่ายทำจริง ต้องมีการซักซ้อมกันก่อน ในส่วนของช่างภาพ ก็จะมีผู้ช่วยประมาณ 2-3 คน จะต้องมีคนวัดระยะ คนปรับโฟกัส ซึ่งในส่วนนี้ช่างภาพจะทำคนเดียวไม่ได้ จึงต้องมีผู้ช่วย ฟิล์มในการถ่ายภาพม้วนหนึ่งมีความยาวประมาณ 400 ฟุต ถ่ายได้ประมาณ 4 นาที ราคาม้วนละ 5,000 บาท ฟิล์มในการถ่ายหนังนี้ใช้บันทึกเสียงไม่ได้ ทำให้ต้องมีฝ่ายเสียงอีกทีหนึ่ง วิธีทำให้เสียงและภาพไปด้วยกันเมื่อทำการตัดต่อคือ ใช้ สเลท เข้ามาช่วย ซึ่งเป็นตัวแยกภาพและเสียง เมื่อทำการถ่ายทำเสร็จหมดทุกฉากทุกตอนแล้ว ก็ต้องเอาฟิล์มหนังที่มีเป็นร้อย ๆ ม้วน ไปยังห้อง Lab เพื่อเข้าสู่กระบวนการตัดต่อ


4. การตัดต่อ

เข้าสู่ขั้นตอนการตัดต่อ ค่าตัดต่อหนังขั้นต่ำประมาณ 4 ล้านบาท เมื่อมาถึงกระบวนการตัดต่อนี้ จะเริ่มด้วย การล้างฟิล์มให้สะอาด ต้องทำด้วยความระมัดระวังมาก ห้ามให้ฟิล์มเป็นรอยเด็ดขาด ต่อมาก็ต้องมาเช็คฟิล์ม ตามด้วย Telecine ก็คือการแปลงสัญญาณภาพจากฟิล์มมาเป็นระบบวีดีโอ ในส่วนของการลำดับภาพ ก็ต้องเอาภาพมาแยกเป็นซีน แล้วใส่เสียงให้ตรงกับภาพ แต่บางทีอาจจะมีฟิล์มบางส่วนต้องนำมาใส่เทคนิคพิเศษต่าง ๆ เมื่อได้ฟิล์มที่แยกเป็นซีนเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องนำฟิล์มมาตัดต่อให้เป็นเรื่องเดียวกัน ในขั้นตอนนี้คนตัดต่อฟิล์มต้องมีความละเอียดลออเป็นพิเศษ เพราะถ้าตัดฟิล์มผิดไป หรือตัดเบี้ยวไป ก็หมายถึงความผิดพลาดมหาศาล คนตัดฟิล์มจึงต้องมีความระมัดระวังเป็นอย่างมาก ต่อมาก็เอาฟิล์มมาแต่งสีจากฟิล์มเนคกาทีฟ ก็มาทำให้เป็นสีจริง

ในขณะ ที่กระบวนการตัดต่อภาพดำเนินไป ด้านของเสียงก็ทำงานไปด้วย ในส่วนของเสียงนั้นส่วนใหญ่จะมาทำเองในห้องอัด ซึ่งมีอุปกรณ์สำหรับทำเสียงมากมาย รวมทั้งการใส่เสียงประกอบและเอ็ฟเฟ็คด้วย เมื่อได้เสียงที่สมบูรณ์แล้วก็นำเสียงมามิกซ์เข้าด้วยกันและสุดท้าย ก็มาถึงการพิมพ์ฟิล์ม ในส่วนนี้ภาพและเสียงจะต้องมาประกบเข้าด้วยกัน ภาพและเสียงจะมาเจอกันเป็นครั้งแรกที่ขั้นตอนนี้ และก็อยู่ด้วยกันไปอีกนานแสนนาน

เมื่อผ่านขั้นตอนสำคัญทั้งหมดนี้มาแล้ว ก็จะมาถึงขั้นตอน “การเซ็นเซอร์” เมื่อคณะกรรมการที่ตรวจหนังไฟเขียวผ่านเรียบร้อย ฟิล์มหนังที่เสร็จสมบูรณ์และถูกต้องตามกฎหมายก็ได้เวลาที่จะเข้าสู่โรง ภาพยนตร์เพื่อออกฉายสู่สายตาประชาชนแล้ว
เมื่อหนังเปิดตัวที่โรงภาพยนตร์ใหญ่ใจกลางกรุงทั่วประเทศแล้ว ต่อมาก็จะเดินทางไปตามโรงภาพยนตร์เล็กที่อยู่ตามต่างจังหวัด จะอยู่ในโรงเล็กประมาณ 2-3 เดือน เมื่อฟิล์มผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านลมพายุฝนมามากมายแล้ว สุดท้ายก็จะกลายเป็น “หนังเร่” ในที่สุด

วาระ สุดท้ายของชีวิตหนังที่ได้เกิดมาเดินทางทำหน้าที่จนใกล้หมดอายุขัย แล้วนั้น ฟิล์มหนังส่วนใหญ่จะถูกส่งไปเก็บรักษา ดูแลซ่อมแซมอย่างดีที่หอภาพยนตร์แห่งชาติ มูลนิธิหนังไทย เพื่อยืดอายุชีวิต หรือบางเรื่อง ก็เพื่อชุบชีวิตให้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ดูหนังในยุคเก่า ๆ กันอีกครั้งหนึ่ง

Cr.http://aca.kku.ac.th/isanfilm/?page_id=62

เทคนิควิธีการสร้างหนังสั้นแต่ง่าย ๆ

ขั้นแรก หาองค์ประกอบด้านวิธีการ คือ หลักการ การวางแผน การถ่ายทำ การตัดต่อ การประเมินผล

ขึ้นสอง หาองค์ประกอบด้านบุคลากร คือ บุคลากรในหน้าที่ต่างๆตั้งแต่ ตัวละคร บุคคลทางเทคนิค รวมไปถึง ผู้มีความสารถเฉพาะครับ จะดีมากๆ และอีกอย่างคือทีมเวิคครับ

ขั้นสาม เตรียมการผลิต คือ วางแผน เตรียมสถานที่ บท อุปกรณ์ ให้ครบ

ขั้นสี่ บทหนัง คือ วางบท คำพูด ระยะเวลาสถานที่ เรื่องราว ที่จะสื่อออกมา
เรื่องบทจะมี หลายแบบ
- บทแบบสมบูรณ์ ประมาณว่า เก็บทุกรายละเอียดทุกคำพูดอ่ะครับ
- บทแบบอย่างย่อ ประมาณว่า เปิดกว้างๆให้ผู้ชมสังเกตในความเข้าใจของตนเอง
- บทแบบเฉพาะ (ไม่จำเป็นหรอก)
- บทแบบร่างกำหนด (ไม่จำเป็นอีกแหละ)

ขั้นห้า การผลิต อย่างแรกเลย แต่ละฉากคุณต้องเลือกมุมกล้องให้เหมาะสม กับสภาพอากาศ ขนาดวัตถุ ว่าควรเห็นแค่ไหน ขนาดมุมกล้องมีหลายแบบนะเยอะมาก ผมพูดรวมๆละกัน มีแบบ ระยะไกลมาก ระยะไกล ระยะปานกลาง ระยะใกล้ (รายละเอียดท่าสนใจเข้ามาคุยนะครับ)

ขั้นหก ค้นหามุมกล้อง
- มุมคนดู ประมาณว่า เป็นมุมถ่ายจากรอบนอกของฉากนั้นๆอ่ะครับ เหมือนผู้ชมเป็นคนสังเกตฉากนั้นๆ
- มุมแทนสายตา ไม่ต้องอธิบายมั้ง
- มุมพ้อยออฟวิว มุมนี้แนะนำให้ใช้เยอะๆครับ สวยมากมุมนี้ในการทำหนัง เป็นมุมที่ใกล้ชิดเหตุการณ์ครับ เช่น การถ่ายข้ามไหล่ของตัวละคร หรือวัตถุ ครับ

ขั้นเจ็ด การเคลื่อนไหวของกล้อง (พูดรวมๆนะถ้าจะเอาละเอียดเข้ามาคุยกัน)
- การแพน การทิลท์ ประมาณว่า การทำเคลื่อนไหวกล้องให้เห็นตำแหน่งวัตถนั้นสัมพันกันครับ
- การดอลลี่ การติดตามการเคลื่อนไหวเลยครับ
- การซูม เป็นการเปลียนองค์ประกอบภาพครับ เหมือนเน้ความสนใจในจุดๆหนึ่ง

ขั้นแปด เทคนิคการถ่าย (เออผมจะอธิบายไงดีเนี้ยมันเยอะมากอ่ะครับ)
เอาเป็นว่าจับกล้องให้มั่นอ่ะครับ อย่างผมก็จะจับ แบบกระชับกับตัวเลย คือแขนทั้งสองข้างแนบตัวเลยครับ และก็ไม่แนะนำให้เคลื่อนไหวกล้องแบบรวดเร็วนะครับ กล้องจะปรับโฟกัสไม่ทัน ทำให้ภาพเบลอครับ
ถ้าอยากทราบเทคนิคการถ่ายแบบละเอียดก็ เข้ามาถามละกันนะครับ ผมต้องใช้ประสปการณ์ตรงอธิบายอ่ะ

ขั้นเก้า หลังการผลิต ก็ต้องตัดต่อ เพิ่มเสียง เอฟเฟค ความคมชัด ความเด่นชัดเรื่อง อักษรหนังสือ

ขั้นสิบ การตัดต่อ (เยอะมากครับอธิบายรวมๆละกัน)
อย่างแรกเลยครับจัดลำดับภาพ และเวลาให้ตรงและเหมาะสม อันไหนเกินยาวก็ให้ตัดทิ้งครับอย่าให้ขัดอารณ์
อย่างสองคือจัดภาพให้เหมาะสม เนื้อหาและโครงเรื่องที่เราวางไว้ครับ
อย่างสามแก้ไขข้อบกพร่องครับ
อย่างสี่ เพิ่มทคนิคให้ดูสวยงาม(เดียวจะอธิบาย)
อย่างห้า เรื่องเสียง(เดียวจะอธิบาย)

เอาละครับขั้นการตัดต่อและมาดูละกันการตัดต่อเชื่อมฉากมีอะไรบ้าง
- การตัด cut
- การเฟด fade
- การทำภาพจางซ้อน
- การกวาดภาพ
- ซ้อนภาพ
- ภาพมองทาจ

โปรแกรมที่จะนำมาใช้ ผมแนะนำดังต่อไปนี้นะครับ
1. movie maker (Xp ก็มีมาให้แล้ว) ตัดต่อเบื้องต้นครับ ตัวเชื่อมเฟรมค่อนข้างน้อย ไม่แนะนำนะครับ
2. Sony vegas 7.0 ค่อยดีขึ้นมาหน่อย การทำงานค่อนข้างละเอียดครับ มีลุกเล่นเยอะมากมาย(แนะนำสำหรับมือใหม่ครับ)
3. adobe premiere pro 2.0 มีการตัดต่อค่อนข้างละเอียดอ่อนมากๆครับใช้งานยากแต่ ถ้าใช้เป็นสามารถสร้างหนังได้ใหญ่ๆเรื่องนึงเลยนะครับ แต่การใช้งานยุ่งยากไม่เหมาะกับมือใหม่ (ถ้าอยากใช้ก็หาเอาแล้วกันนะครับ)
Cr.https://sites.google.com/site/khtpshortfilm/thekhnikh-kar-tha-hnang-san/thekhnikh-withi-kar-srang-hnang-san-tae-ngay

รู้หรือไม่? 9 อาชีพที่ติดตัวเรามาตั้งแต่ในห้องเรียน



บางที่สิงเหล่านี้ที่ติดตัวเรามาจากในห้องเรียนก็สามารถนำมาเป็นอาชีพได้อย่างไม่คาดคิดมาก่อน...จะมีอาชีพอะไรบ้าง มาดูกัน





1. อาชีพนักชิม

น้องๆเคยใช่ไหมเจอเพื่อนที่มีของกินทั้งวัน พักคาบไหนก็ซื้อของกินเข้ามาในห้อง เต็มเกะไปหมด




2. อาชีพนักพูด

อาชีพนี้พบได้ไม่ยาก ในเวลาที่น้องกำลังตั้งใจเรียนหรือว่าอาจารย์กำลังสอนอยู่มีเสียงเกิดจากที่แห่งใดที่นั่นแหละเป็นจุดดำเนิดของนักพูด




3. อาชีพขายตรง

มีเพื่อนที่ที่บ้านมีธุรกิจประกอบสินค้าใช่ไหม หรือเพื่อนโตหน่อยในระดับมหาวิทยาลัยก็จะมีสินค้าของที่บ้านหรือของตัวเอง เช่น พวก ครีม ซาลาเปา ขนม โน้นนี่นั่นมาขายเพื่อนๆในห้องอยู่เสมอๆ และเราก็ซื้อด้วยนะ




4. อาชีพอาร์ทติส

อาชีพนี้พบมากได้ที่ห้องน้ำและบนโต๊ะเรียน เป็นอาชีพที่ชอบใช้มือและอาวุธคู่กายไม่ว่าจะเป็น ปากกา ดินสอ และลิควิด ของเหล้านี้เป็นของคู่กายของศิลปินอาร์ทติสเหล้านี้ ภาพออกมาสวยมากสวยน้อยขึ้นอยู๋กับอารมณ์ในตอนนั้นด้วยนะ บอกไว้ก่อนเลย




5. อาชีพนักดนตรี

อาชีพนี้จะมีของที่ขาดไม่ได้อยู่หนึ่งสิ่งคือหูฟัง จะเป็นอะไรที่ต้องเสียบหูฟังคาไว้ที่หูตลอดเวลา ไม่ร้องเพลงก็เล่นกีต้าร์ ไม่ก็ตีกลองเคาะโต๊ะ แววศิลปินเจิดจรัสตั้งแต่เด็กๆ




6. อาชีพนักข่าว

อาชีพนี้เป็นที่ฮอตฮิตในหมู่กลุ่มวัยรุ่นมาก เพราะจะเป็นคนที่มีความรู้เยอะ(ความรู้เรื่องราวของคนอื่นอ่านะ) ใครกิ๊กกับใคร ใครทะเลาะกับใคร ใครยืมเงินใคร คนนี้จะรู้หมด และก็จะมาเม้ากับเพื่อนๆ คนอื่นจะรู้ด้วยหมด เพียงแค่บอกว่า อย่าบอกใครนะ




7. อาชีพดารานางแบบนายแบบ

อาชีพนี้ฮิตมากในหมู่วัยรุ่น จะมีสิ่งของคู่กายคือ กระจก หวี แป้ง และอุทัยทิพย์ หน้าจะขาวเป๊ะปากจะแดงแก้มจะชมพู ว่างไม่ได้เป็นส่องกระจก เข้าห้องน้ำต้องเซทผมให้สวยหล่อเป๊ะอยู่ตลอด บอกเลยไม่เป็นดาราแล้วจะเป็นอะไรได้อีก




8. อาชีพช่างภาพ

มาถึงอาชีพที่ยุคนี้ต้องยกนิ้วให้เลยวาแรงจริงๆ ตั้งแต่เด็กเล็กเด็กโตจนถึงผู้ใหญ่กันเลยทีเดียว จะมาเดี่ยวมาหมู่หรือมาคู่ อาชีพนี้ก็คือนักเซลฟี่ ว่างไม่ได้ถ่ายตลอด ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เพื่อน อาคาร ห้องเรียน สไลด์อาจารย์ และอื่นๆ อิชั้นถ่ายหมด




9. อาชีพอิสระ

มาถึงอาชีพที่ทุกคนเคยผ่านอาชีพนี้มากันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆหรือแบบยาวนาน หรือบางคนยึดเป็นอาชีพหลักแบบถาวร คือเข้าห้องเรียนมาใช่ไหม ก็เรียนเยอะ ก็เหนื่อยก็ง่วง รู้หรอก ใครบ้างล่ะจะทนไหว อาชีพหลับไงจ๊ะ บางคนหลับเป็นพักๆ มาคนยิงยาวตั้งแต่คาบแรกยันพักกลางวันน้ำลายไหลยาวยืดเป็นแม่น้ำแยงซีเกียงกันเลย


เป็นไงกันบ้างน้องๆ จาก 9 อาชีพที่พี่บอกมา ใครเป็นอาชีพไหนกันบ้าง แล้วเพื่อนๆของเราเป็นอาชีพไหนกันบ้าง ตรงไม่ตรงน้องพิจารณากันเอง บอกต่อแชร์ให้เพื่อนมาดูกันหน่อยว่าเป็นกันจริงๆไหม แต่ขอบอกก่อนเลยนะว่าอาชีพที่กล่าวมานั้น


อาจจะกลายเป็นอาชีพจริงๆที่น้องชอบทำมันจริงๆ เวลาทำมันแล้วมีความสุขแบบบอกไม่ถูก หาคำอธิบายไม่ได้ สุดท้ายนี้ขอให้น้องๆค้นหาตัวเองให้เจอและมีความสุขกับสิ่งที่ทำกันทุกคนนะจ๊ะ ทำในสิ่งที่รักที่ชอบแล้วเราจะไม่มีวันเบื่อ


cr.http://campus.sanook.com/1378127/

บทบาทภาษาฝรั่งเศสในประเทศไทย





เราอาจคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษ รวมถึงกิจกรรมเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ แต่ในเมืองไทย ภาษาฝรั่งเศสก็มีบทบาทในการเรียนการสอนไม่น้อยนะครับ และเดือนมิถุนายนนี้เขาก็จะจัดงานเทศกาลวัฒนธรรมฝรั่งเศส-ไทย หรือเรียกว่า ลาแฟ็ต(La Fête) ก่อนอื่นเรามาสร้างความกระจ่างเกี่ยวกับความเกี่ยวข้องของภาษาฝรั่งเศสในประเทศไทยกันหน่อยครับ ตามข้อมูลต่อไปนี้



-ปัจจุบันมีนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เรียนภาษาฝรั่งเศส จำนวน 5,000 คน

-นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เรียนภาษาฝรั่งเศส จำนวน 26,000 คน

-นักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย จำนวน 3,000 คน

-ครูผู้สอนภาษาฝรั่งเศสจำนวน 500 คน

-นักเรียนโครงการห้องเรียนสองภาษา(ไทย-ฝรั่งเศส) จำนวน 189 คน และผู้ใช้ภาษาฝรั่งเศสในประเทศรวมทั้งหมด จำนวน 562,000 หรือ 0.8 % ของประชากรของประเทศ (ประเทศเวียดนาม 0.7 %)

ที่นี้มาดูกิจกรรมเด่นสักรายการประจำเดือนมิถุนายน ในช่วงเวลาของ La Fête(เทศกาลวัฒนธรรมฝรั่งเศส-ไทย) กันบ้าง โดยวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558 จะมีพิธีปิดการอบรมของผู้รับทุนศึกษาด้านการสอนภาษาฝรั่งเศส สพฐ.รุ่นที่ 2 จำนวน 15 คน จัดที่สมาคมฝรั่งเศส กรุงเทพฯ

ปีนี้ครูสอนภาษาฝรั่งเศสทั้งหมด 15 คน ได้เดินทางออกจากประเทศไทยเมื่อเดินกุมภาพันธ์เพื่อไปอบรมที่เมืองมงต์เปลิเยร์ เมืองที่มีประชากร 510,000 คน ตั้งอยู่บริเวณทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส เพื่อเพิ่มความคุ้นเคยกับภาษา วิถีชีวิตและวัฒนธรรมฝรั่งเศส

อีกทั้งได้อาศัยกับครอบครัวชาวฝรั่งเศส ทำให้สามารถแบ่งปันประสบการณ์ซึ่งกันและกัน เพื่อสามารถทำให้ครูรุ่นใหม่มีศักยภาพด้านการสอนอย่างมีประสิทธิภาพหรือใช้ทักษะการสอนที่ได้รับการเรียนรู้มาถ่ายทอดให้แก่ผู้เรียนเข้าใจอย่างถ่องแท้

โดยครูเหล่านี้กลับมาร่วมงานวันที่ 5 มิถุนายนศกนี้ และจะไปทำหน้าที่ครูสอนภาษาฝรั่งเศสที่เข้มแข็งต่อไป...

ขอบคุณข้อมูล จากฝ่ายความร่วมมือและวัฒนธรรม สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย


Cr.http://campus.sanook.com/1377937/

6 เทคนิคการทำ short note ขั้นเทพ





1. ตัวหนังสือไม่เยอะ

การทำสรุปที่อ่านง่าย ทบทวนได้รวดเร็ว และไม่ต้องเสียเวลาทำนานนั้นไม่ควรมีตัวอักษรเยอะครับ โดยให้เปลี่ยนตัวอักษรเหล่านั้นเป็น "ตัวย่อ" หรือ "สัญลักษณ์" ครับ เพื่อให้ง่ายต่อการทำ short note และการอ่านทบทวน เช่น คำว่า ตัวอย่าง = ตย. หรือ Ex. , สารประกอบ = สปก. , without = w/o , เพิ่มขึ้น = เป็นต้น โดยที่ตัวย่อหรือสัญลักษณ์เหล่านี้น้อง ๆ ไม่จำเป็นต้องไปหาตัวย่อมาตรฐานที่ไหนหรอกครับ เพราะ short note เราและทำให้เราอ่านเอง เราจึงสามารถกำหนดตัวย่อหรือสัญลักษณ์ขึ้นมาได้เองเลย ขอแค่ตัวเองอ่านรู้เรื่องเท่านั้นก็พอแล้วนี่ครับ

2. มีเน้นจุดสำคัญ

การทำ short note นั้นไม่ควรทำเพียงสรุปเนื้อหา แต่ควรมีการเน้นจุดสำคัญที่ออกสอบบ่อย ต้องจำให้ได้ ต้องรู้ด้วย จุดสำคัญเหล่านั้นน้อง ๆ จะรู้ได้จากการฟังครูในห้องเรียนแล้วครูพูดย้ำ ๆ หรือพูดว่าต้องรู้ ส่วนวิธีการการเน้นจุดสำคัญใน short note นั้นอาจเขียนเป็นกล่องข้อความแยกออกมาจากเนื้อหาปกติก็ได้ เพื่อให้เมื่ออ่านแล้วจะได้สะดุดเนื้อหานั้นและจำได้นั่นเอง

3. ไม่ต้องใส่เนื้อหาทั้งหมด

การทำ short note สรุปที่ดีนั้นต้องไม่ใส่เนื้อหาทั้งหมดครับ เพราะในบางครั้ง บางวิชา เนื้อหาอาจมีปริมาณมากมาย จนถ้าหากว่าใส่เนื้อหาทั้งหมดลงไปใน short note ก็คงจะเหมือนการเขียนหนังสือเล่มนึงเลยละ ดังนั้นไม่ต้องใส่เนื้อหากันหมดนะครับ ถามว่าแนวทางการเลือกเนื้อหาที่สำคัญ ไม่เลือกเนื้อหาเยอะเกิน หรือลึกเกินนั้นมีแนวทางอย่างไรก็ต้องบอกว่ามีหลายวิธีเลยละครับ เช่น สังเกตเองจากการดูข้อสอบเก่าว่าเขาออกลึกขนาดไหน ถามครูผู้สอนว่าต้องรู้เนื้อหาลึกขนาดไหน เป็นต้น

4. อ่านให้จบก่อน แล้วจึงทำสรุป

การอ่านให้จบทั้งหมดที่จะสรุปก่อนแล้วจึงค่อยทำสรุปมีข้อดีคือการที่น้องจะเห็นภาพรวมของเนื้อหาทั้งหมด เหมือนมี Mind map ของเนื้อหาในสมองก่อนแล้วจึงนำ Mind map นั้นมาเขียนเป็น short note ทำให้เนื้อหาเป็นระเบียบ อ่านง่าย ต่างจากการอ่านไปทำสรุปไปที่ในบางครั้ง อาจต้องลบแก้ในบางจุดเมื่ออ่านไปเรื่อย เพราะพบว่ามันไม่ใช่อย่างที่คิด แก้ไปแก้มา เสียเวลาเปล่า ๆ ใช่ไหมละครับ

5. ใช้สีเข้าช่วย

วิธีหนึ่งที่จะทำให้การทำ short note ไม่น่าเบื่อ และเมื่อกลับมาอ่านอีกครั้งก็ไม่รู้สึกว่าไม่น่าอ่าน คือ การใช้สีเข้าช่วย อาจเป็นไฮไลท์ หรือปากกาสีก็ได้ เปลี่ยนสีการจดบ้าง เช่น หัวข้อจะใช้สีแดงเขียน เนื้อหาจะใช้สีฟ้าเขียน จุดสำคัญที่ต้องการจะเน้นแยกจากเนื้อหาจะใช้สีเขียว เป็นต้น

6. ทำเป็น Mind map หรือ ใช้โครงของ Mind map

ตัวอย่างรูปแบบการทำสรุปรูปแบบหนึ่งที่นิยม และมีประสิทธิภาพคือการทำในรูปแบบของ mind map เพราะจะทำให้อ่านง่าย เห็นภาพรวม ว่าเนื้อหานี้มีกี่หัวข้อใหญ่ และแต่ละหัวข้อใหญ่มีกี่หัวข้อย่อย และเนื้อหาแต่ละส่วนเชื่อมโยงกันอย่างไรนั่นเอง

6 เทคนิคข้างต้นก็เป็นเทคนิคการทำ Short note สรุปง่าย ๆ สำหรับน้อง ๆ ทุกคนที่อยากทำสรุปเป็นของตัวเองแต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี นำไว้เป็นแนวทางในการทำนะครับ ใครต้องการแชร์แบ่งปันเพื่อน ๆ ก็ยินดีนะครับ ส่วนคอนเม้น ติชม แนะนำสามารถคอมเม้นด้านล่างได้เลยครับ






Cr. http://campus.sanook.com/1378085/